“ไม่ชอบฟันปลอม แนะนำทำรากเทียม เคี้ยวแล้วรู้สึกเป็นธรรมชาติเหมือนฟันจริง กินอาหารอร่อยกว่า”
รากฟันเทียม (Dental Implant) เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน และให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด
รากฟันเทียมคืออะไร?
รากฟันเทียมเป็นอุปกรณ์ทางทันตกรรมที่ใช้ทดแทนรากฟันธรรมชาติ มีลักษณะเป็นสกรูไทเทเนียมที่ฝังเข้าไปในกระดูกขากรรไกร ทำหน้าที่เป็นรากฟันใหม่ จากนั้นติดตั้งครอบฟันหรือสะพานฟันเพื่อให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ
ข้อดีของรากฟันเทียม
- ✅ แข็งแรงและทนทาน – ใช้งานได้ยาวนานกว่าฟันปลอมแบบถอดได้
- ✅ ดูเป็นธรรมชาติ – รูปลักษณ์เหมือนฟันจริง ให้รอยยิ้มที่มั่นใจ
- ✅ ช่วยรักษาสุขภาพกระดูกขากรรไกร – ป้องกันการละลายตัวของกระดูก
- ✅ ไม่ต้องกรอฟันข้างเคียง – ต่างจากสะพานฟันที่ต้องพึ่งฟันข้างเคียง
- ✅ เคี้ยวอาหารได้ดี – เหมือนฟันธรรมชาติ ไม่มีปัญหาการลื่นหลุด
ประเภทของรากฟันเทียม
รากฟันเทียมสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้
1. แบ่งตามจำนวนรากฟันเทียมที่ใส่ในช่องปาก:
* รากฟันเทียมซี่เดียว (Single Tooth Implant): ใช้ทดแทนฟันที่สูญเสียไปเพียง 1 ซี่
* รากฟันเทียมหลายซี่ (Implant-Supported Bridge): ใช้ทดแทนฟันที่สูญเสียไปหลายซี่ที่อยู่ติดกัน โดยใช้รากฟันเทียมเป็นหลักยึดสะพานฟัน
* รากฟันเทียมทั้งปาก (Implant-Supported Dentures): ใช้ทดแทนฟันที่สูญเสียไปทั้งขากรรไกร โดยใช้รากฟันเทียมเป็นหลักยึดฟันปลอมทั้งปาก
2. แบ่งตามระยะเวลาที่ใช้ในการทำรากฟันเทียม:
* รากฟันเทียมแบบทั่วไป: เป็นการปลูกรากฟันเทียมตามขั้นตอนปกติ โดยจะรอให้กระดูกยึดติดกับรากฟันเทียมก่อนจึงจะใส่ฟันปลอม
* รากฟันเทียมแบบทันที (Immediate Implant): เป็นการปลูกรากฟันเทียมทันทีหลังจากถอนฟันซี่เดิม
* รากฟันเทียมแบบวันเดียว (Immediate Loaded Implant): เป็นการปลูกรากฟันเทียมและใส่ฟันปลอมชั่วคราวในวันเดียวกัน
3. แบ่งตามวัสดุที่ใช้ทำรากฟันเทียม:
* รากฟันเทียมไทเทเนียม: เป็นวัสดุที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน และเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อในร่างกาย
* รากฟันเทียมเซอร์โคเนียม: เป็นวัสดุที่มีสีขาวคล้ายฟันธรรมชาติ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ
4. แบ่งตามตำแหน่งของการทำรากฟันเทียม:
* รากฟันเทียมในกระดูก (Endosseous Implant): เป็นรากฟันเทียมที่ฝังลงในกระดูกขากรรไกรโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
* รากฟันเทียมใต้เยื่อหุ้มกระดูก (Subperiosteal Implant): เป็นรากฟันเทียมที่วางอยู่บนกระดูกขากรรไกรใต้เยื่อหุ้มกระดูก เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอที่จะรองรับรากฟันเทียมแบบฝังในกระดูก
5. แบ่งตามรูปแบบการทำรากฟันเทียม:
* รากฟันเทียมแบบทั่วไป: เป็นการทำรากฟันเทียมในตำแหน่งที่วางแผนไว้
* รากฟันเทียมพร้อมใช้งาน: เป็นการใส่ฟันบนรากฟันเทียมทันทีหลังจากการปลูกรากฟันเทียม
* รากฟันเทียมทันทีในวันที่ถอนฟัน: เป็นการปลูกรากฟันเทียมทันทีในวันที่ถอนฟัน เพื่อลดจำนวนครั้งในการผ่าตัด
การเลือกประเภทของรากฟันเทียมที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพช่องปาก จำนวนฟันที่สูญเสียไป งบประมาณ และความต้องการของแต่ละบุคคล ดังนั้นควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ดีที่สุด
รากฟันเทียมที่คลินิกบ้านฟันสวย ราคาเท่าไหร่?
ราคาของรากฟันเทียมแตกต่างกันไปตามประเภท วัสดุ โดยทั่วไปจะอยู่ที่
- รากฟันเทียมเกาหลี (Cowell-Medi) ราคารากละ 35,000 - 80,000 บาท
- รากฟันเทียมสวิตเซอร์แลนด์
- แบรนด์ SIC ราคารากละ 54,000 บาท
- แบรนด์ Straumann ราคารากละ 69,000 บาท
แตกต่างกันอย่างไร?
เปรียบเทียบ รากฟันเทียมเกาหลี (Cowell-Medi), รากฟันเทียมสวิตเซอร์แลนด์ แบรนด์ SIC และ Straumann
🔹 1. รากฟันเทียมเกาหลี (Cowell-Medi)
ประเทศผู้ผลิต: เกาหลีใต้
คุณสมบัติเด่น:
- วัสดุ Titanium Grade 4 มีความแข็งแรงทนทาน
- ออกแบบให้สามารถยึดเกาะกับกระดูกได้ดี ด้วยเทคโนโลยี SLA Surface (คล้ายกับของ Straumann)
- เป็นรากเทียมที่นิยมใช้ในเอเชีย และมีราคาย่อมเยา
- ขั้นตอนการฝังและอุปกรณ์ติดตั้งเรียบง่าย ทันตแพทย์สามารถทำงานได้สะดวก
ข้อดี:
- ราคาไม่สูง เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีงบประมาณจำกัด
- คุณภาพมาตรฐานเกาหลี ผ่านการรับรองจากหลายประเทศ
🔹 2. รากฟันเทียมสวิตเซอร์แลนด์ (SIC)
ประเทศผู้ผลิต: สวิตเซอร์แลนด์
คุณสมบัติเด่น:
- ผลิตจากวัสดุ Titanium คุณภาพสูง
- ออกแบบโดยทันตแพทย์เฉพาะทางร่วมกับวิศวกร ทำให้รองรับการใช้งานได้หลากหลายกรณี
- พื้นผิวถูกออกแบบให้ช่วยในการยึดเกาะกับกระดูกได้รวดเร็ว
ข้อดี:
- มีงานวิจัยรองรับพอสมควรในยุโรป
- เป็นแบรนด์สวิสที่ได้รับความนิยมในคลินิกระดับกลาง-สูง
- ราคากลาง ไม่สูงเท่า Straumann แต่คุณภาพใกล้เคียง
🔹 3. รากฟันเทียม Straumann
ประเทศผู้ผลิต: สวิตเซอร์แลนด์
คุณสมบัติเด่น:
- เป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมที่มีชื่อเสียงระดับโลก
- วัสดุ Titanium Roxolid® มีความแข็งแรงสูงแต่ผอมบาง เหมาะสำหรับพื้นที่กระดูกน้อย
- ผิว SLActive® ช่วยให้การยึดเกาะกับกระดูกเร็วขึ้นใน 3-4 สัปดาห์
- มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 40 ปี และใช้ในคลินิกทั่วโลก
ข้อดี:
- คุณภาพสูงสุดในตลาด มีงานวิจัยระยะยาวยืนยัน
- มีระบบดิจิทัลสนับสนุน เช่น การพิมพ์แบบ 3D, Scan ระบบ CAD/CAM
- รองรับอะไหล่ในอนาคตได้ดี ใช้งานร่วมกับระบบต่าง ๆ ได้หลากหลาย
🔍 สรุปเปรียบเทียบ
ใครเหมาะกับรากฟันเทียม?
รากฟันเทียมเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูฟันให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ มาดูกันว่าใครบ้างที่เหมาะกับรากฟันเทียม
✅ 1. ผู้ที่สูญเสียฟัน 1 ซี่ หรือหลายซี่
- หากคุณมีฟันหายไป ไม่ว่าจะเกิดจากฟันผุอย่างรุนแรง ฟันแตก หรืออุบัติเหตุ
- ไม่ต้องการใส่ฟันปลอมแบบถอดได้
- ต้องการทดแทนฟันที่หายไปอย่างถาวร
✅ 2. ผู้ที่ต้องการทดแทนฟันทั้งปาก
- กรณีไม่มีฟันทั้งปาก หรือมีฟันเหลืออยู่แต่ไม่แข็งแรง
- สามารถเลือกใช้ระบบ All-on-4 หรือ All-on-6 ที่ช่วยให้มีฟันใหม่ทั้งปากโดยใช้รากฟันเทียมเพียง 4-6 ต้น
✅ 3. ผู้ที่ต้องการรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติ
- รากฟันเทียมให้รูปลักษณ์และความรู้สึกที่ใกล้เคียงฟันจริงมากที่สุด
- ไม่ต้องกังวลเรื่องฟันปลอมเลื่อนหลุดขณะพูดหรือเคี้ยวอาหาร
✅ 4. ผู้ที่มีปริมาณกระดูกขากรรไกรเพียงพอ
- เนื่องจากรากฟันเทียมต้องฝังลงในกระดูกขากรรไกร หากกระดูกไม่เพียงพออาจต้องทำ การปลูกกระดูก (Bone Graft) ก่อน
- ผู้ที่มีกระดูกแข็งแรงจะสามารถฝังรากฟันเทียมได้โดยไม่มีปัญหา
✅ 5. ผู้ที่ไม่ต้องการให้ฟันข้างเคียงถูกกรอฟัน
- การใส่ สะพานฟัน (Bridge) ต้องกรอฟันข้างเคียงเพื่อเป็นฐานรับแรง
- แต่รากฟันเทียมฝังลงในกระดูกโดยตรง ไม่ต้องแตะต้องฟันข้างเคียง
✅ 6. ผู้ที่มีสุขภาพช่องปากดี
- เหงือกต้องแข็งแรง ไม่มีโรคปริทันต์รุนแรง
- ดูแลช่องปากได้ดีเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
❌ ใครบ้างที่อาจไม่เหมาะกับรากฟันเทียม?
- ผู้ที่มีกระดูกขากรรไกรบางมากเกินไป (แต่สามารถปลูกกระดูกเพิ่มได้)
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ อาจมีปัญหากับการหายของแผล
- ผู้ที่สูบบุหรี่จัด ทำให้แผลหายช้าและเพิ่มโอกาสการล้มเหลวของรากฟันเทียม
- ผู้ที่มีโรคกระดูกพรุนหรือรับยากดภูมิคุ้มกัน อาจส่งผลต่อการยึดติดของรากฟันเทียม
การเตรียมตัวก่อนทำรากฟันเทียม (Preparation for Dental Implants) 🦷✨
การทำรากฟันเทียมเป็นกระบวนการที่ต้องมีการวางแผนอย่างดี เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพและปลอดภัย ดังนั้น การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษาจึงมีความสำคัญมาก
✅ 1. ตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์
📌 ทันตแพทย์จะทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียด รวมถึง
- เอกซเรย์ (X-ray) หรือ CT Scan เพื่อตรวจสภาพกระดูกขากรรไกร
- ตรวจสุขภาพเหงือกและฟันโดยรวมว่ามีปัญหาโรคเหงือกหรือฟันผุหรือไม่
- ประเมินความพร้อมของกระดูกขากรรไกรว่ามีเพียงพอสำหรับฝังรากฟันเทียมหรือไม่
💡 หากกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอ อาจต้องทำ การปลูกกระดูก (Bone Grafting) ก่อน
✅ 2. แจ้งประวัติสุขภาพให้ทันตแพทย์ทราบ
👩⚕️ ควรแจ้งทันตแพทย์เกี่ยวกับ
🔹 โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
🔹 ยาหรืออาหารเสริมที่ใช้อยู่ประจำ โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด รวมถึงอาหารเสริมที่ทานอยู่ เพราะอาหารเสริมบางชนิดส่งผลถึงการแข็งตัวของเลือด เช่น น้ำมันตับปลา Fish oil หรือวิตามินดี
🔹 ประวัติการแพ้ยา เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาแพ้ยาระหว่างการรักษา
🔹 พฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ ที่อาจส่งผลต่อการสมานตัวของรากฟันเทียม
💡 หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลก่อนทำการรักษา
✅ 3. งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ล่วงหน้า
🚭 การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อาจส่งผลต่อการสมานตัวของรากฟันเทียม
- ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนและหลังการผ่าตัด
- แอลกอฮอล์อาจทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ ควรงดก่อนและหลังการผ่าตัด
✅ 4. เตรียมร่างกายให้แข็งแรง
💪 พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หากร่างกายแข็งแรงดี จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงการเจ็บป่วย เช่น ไข้หวัด เพราะอาจทำให้การผ่าตัดต้องเลื่อนออกไป
✅ 5. วางแผนวันหยุดพักฟื้น
📆 ควรเผื่อเวลาหยุดงานหรือเลื่อนนัดหมายสำคัญ
- หลังทำรากฟันเทียม อาจมีอาการบวมและปวดเล็กน้อยประมาณ 2-3 วัน
- ควรมีเวลาพักผ่อนเพียงพอเพื่อให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น
✅ 6. เตรียมอาหารอ่อนๆ ไว้ล่วงหน้า
🥣 ในช่วงแรกหลังทำรากฟันเทียม ควรเลือกรับประทานอาหารที่ ไม่ต้องเคี้ยวมาก เช่น
✅ ซุป, โยเกิร์ต, ข้าวต้ม, ไข่ตุ๋น, สมูทตี้
🚫 หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียว หรือเผ็ดจัด ที่อาจกระทบแผล
✅ 7. วางแผนการเดินทาง
🚗 หากการผ่าตัดต้องใช้ยาชาหรือยาระงับปวด ควรมีคนขับรถพากลับบ้าน
- การขับรถเองอาจทำให้เวียนศีรษะหรืออ่อนเพลียได้
✅ 8. ทำความเข้าใจขั้นตอนและข้อปฏิบัติหลังทำ
🔹 ควรสอบถามทันตแพทย์เกี่ยวกับ ขั้นตอนการทำรากฟันเทียมและข้อควรปฏิบัติหลังทำ
🔹 เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับ การดูแลแผลหลังผ่าตัดและการไปติดตามผลตามนัด
ขั้นตอนการทำรากฟันเทียมที่คลินิกบ้านฟันสวย เชียงใหม่ (Dental Implant Procedure)
การทำรากฟันเทียมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความแม่นยำและการวางแผนที่ดี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แข็งแรงและดูเป็นธรรมชาติ โดยทั่วไปมี 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
1. การตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
🔍 ตรวจสุขภาพช่องปาก
- ทันตแพทย์จะตรวจฟัน เหงือก และกระดูกขากรรไกร
- อาจใช้ X-ray หรือ CT Scan เพื่อตรวจสอบปริมาณกระดูกที่รองรับรากฟันเทียม
📌 หากกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอ
- อาจต้องปลูกกระดูก (Bone Graft) ก่อนการฝังรากฟันเทียม
- ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 3-6 เดือน ก่อนจะสามารถฝังรากฟันเทียมได้
2. ฝังรากฟันเทียมลงในกระดูกขากรรไกร
🔹 การใช้ยาชา – ทันตแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่ เพื่อให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บ
🔹 การผ่าตัดฝังรากฟันเทียม – เจาะกระดูกขากรรไกรและฝังสกรูไทเทเนียม ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นรากฟันใหม่
🔹 เย็บแผล – ปิดแผลด้วยไหมเย็บแผลและรอให้กระดูกยึดติดกับรากฟัน
⏳ ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาทีต่อซี่
3. การรอให้กระดูกยึดติดกับรากฟันเทียม (Osseointegration)
📅 ใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน
- ในช่วงเวลานี้ กระดูกขากรรไกรจะค่อยๆ สร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาเชื่อมกับรากฟันเทียม
- เป็นกระบวนการที่สำคัญมาก เพราะช่วยให้รากฟันเทียมแข็งแรงและทนทาน
4. การติดตั้งแกนเชื่อม (Abutment) และพิมพ์ฟัน
🔸 เมื่อรากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกดีแล้ว ทันตแพทย์จะติด Abutment ซึ่งเป็นตัวเชื่อมระหว่างรากฟันเทียมกับครอบฟัน
🔸 จากนั้นทำ การพิมพ์ฟัน เพื่อให้ชิ้นงานครอบฟันมีขนาดและรูปร่างที่เหมาะสม
⏳ ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
5. การติดตั้งครอบฟันถาวร (Final Crown Placement)
🔹 เมื่อตัวครอบฟันเสร็จเรียบร้อย ทันตแพทย์จะทำการติดตั้งและปรับแต่งให้เข้ากับการสบฟัน
🔹 ครอบฟันสามารถเลือกได้เป็น เซรามิก, พอร์ซเลน หรือโลหะผสม
✨ หลังจากติดตั้งแล้ว คุณจะสามารถใช้งานฟันได้ตามปกติ และรากฟันเทียมจะให้ความรู้สึกเหมือนฟันธรรมชาติ
การดูแลหลังทำรากฟันเทียม (Post-Implant Care Guide)
หลังจากทำรากฟันเทียม การดูแลรักษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้รากฟันเทียมแข็งแรง อยู่ได้นาน และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
✅ 1. การดูแลช่วงแรกหลังการผ่าตัด (24-72 ชั่วโมงแรก)
🩹 ควรปฏิบัติดังนี้
🔹 กัดผ้าก๊อซ บริเวณแผลประมาณ 30-60 นาที เพื่อลดเลือดออก
🔹 ประคบเย็น บริเวณแก้มด้านนอกในช่วง 24 ชั่วโมงแรก (ครั้งละ 15-20 นาที) เพื่อช่วยลดอาการบวม
🔹 พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกแรงหนัก เช่น ออกกำลังกาย หรือก้มๆ เงยๆ
🔹 รับประทานยา ตามที่ทันตแพทย์สั่ง เช่น ยาแก้ปวด หรือยาปฏิชีวนะ
🚫 ข้อห้ามในช่วงแรก
❌ ห้ามบ้วนปากแรงๆ ใน 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการกระตุ้นให้เลือดออก
❌ ห้ามใช้นิ้วหรือลิ้นสัมผัสแผล อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ
❌ งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะจะชะลอการสมานตัวของแผล
❌ หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด/เผ็ดจัด อาจทำให้แผลระคายเคือง
✅ 2. การดูแลแผลและสุขอนามัยช่องปาก (หลัง 3 วัน - 2 สัปดาห์)
🦷 ทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธี
🔹 แปรงฟันได้ตามปกติ แต่ควรใช้ แปรงขนนุ่ม และระมัดระวังบริเวณรากฟันเทียม
🔹 ใช้น้ำยาบ้วนปากหรือน้ำเกลืออ่อนๆ ในช่วงแรก เพื่อลดแบคทีเรีย
🔹 หลีกเลี่ยงไหมขัดฟันบริเวณแผลจนกว่าทันตแพทย์จะอนุญาต
🍽️ การเลือกรับประทานอาหาร
✅ ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โยเกิร์ต ซุป ข้าวต้ม ไข่ตุ๋น
✅ ค่อยๆ กลับไปเคี้ยวอาหารปกติเมื่อแผลหายดี
🚫 หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เช่น ถั่วแข็ง น้ำแข็ง หรือหมากฝรั่ง
✅ 3. การดูแลระยะยาว (หลังแผลหาย)
🔹 แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ
🔹 ใช้ แปรงซอกฟัน (Interdental Brush) ทำความสะอาดรอบๆ รากฟันเทียม
🔹 พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจเช็คสภาพรากฟันเทียมและเหงือก
🔹 หลีกเลี่ยงการใช้ฟันหน้ากัดของแข็ง เช่น กัดปลอกปากกา หรือเปิดขวด
⏳ อาการที่ควรเฝ้าระวัง
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบทันตแพทย์
⚠️ อาการปวดรุนแรงผิดปกติที่ไม่ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน
⚠️ เลือดออกไม่หยุดหลัง 24 ชั่วโมง
⚠️ อาการบวมแดงหรือหนองบริเวณแผล
⚠️ ฟันปลอมหรือครอบฟันที่ติดกับรากฟันเทียมหลวม
รากฟันเทียมอยู่ได้นานแค่ไหน? 🦷⏳
รากฟันเทียมเป็นการรักษาที่มีความทนทานและสามารถอยู่ได้เป็นเวลานานหากดูแลอย่างเหมาะสม โดยทั่วไป รากฟันเทียมสามารถอยู่ได้นาน 10-30 ปี หรือแม้แต่ตลอดชีวิต แต่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
🦷 อายุการใช้งานของรากฟันเทียมแต่ละส่วน
รากฟันเทียมประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ซึ่งมีอายุการใช้งานแตกต่างกัน
ส่วนประกอบและอายุการใช้งานโดยเฉลี่ย
- รากฟันเทียม (Implant Post) 20 ปีขึ้นไป (บางรายใช้ได้ตลอดชีวิต)
- แกนเชื่อม (Abutment) 10-20 ปี
- ครอบฟัน (Crown) 10-15 ปี (อาจต้องเปลี่ยนใหม่เมื่อสึกหรอ)
💡 หมายเหตุ: รากฟันเทียมที่ฝังในกระดูกขากรรไกรมักจะอยู่ได้นานกว่าส่วนครอบฟัน ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนหากเกิดการสึกกร่อน
🔍 ปัจจัยที่มีผลต่ออายุการใช้งานของรากฟันเทียม
1️⃣ สุขภาพช่องปากและเหงือก – หากมีโรคเหงือกหรือการติดเชื้อ อาจทำให้รากฟันเทียมหลวมเร็วขึ้น
2️⃣ การดูแลรักษา – การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำช่วยยืดอายุรากฟันเทียม
3️⃣ พฤติกรรมการเคี้ยวอาหาร – การใช้ฟันกัดของแข็ง เช่น น้ำแข็ง หรือเปิดขวด อาจทำให้ครอบฟันแตกหัก
4️⃣ การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ – เพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบและทำให้รากฟันเทียมล้มเหลวเร็วขึ้น
5️⃣ ประเภทของรากฟันเทียมและวัสดุที่ใช้ – ไทเทเนียมเป็นวัสดุที่มีความทนทานสูง แต่ครอบฟันอาจมีอายุสั้นกว่าส่วนราก
🛠️ วิธีช่วยให้รากฟันเทียมอยู่ได้นานขึ้น
✅ แปรงฟันวันละ 2 ครั้งด้วยแปรงขนนุ่ม
✅ ใช้ไหมขัดฟันและแปรงซอกฟันเพื่อทำความสะอาดบริเวณรากฟันเทียม
✅ หลีกเลี่ยงการกัดหรือเคี้ยวของแข็ง เช่น น้ำแข็ง ลูกอมแข็ง
✅ งดสูบบุหรี่เพื่อลดความเสี่ยงของการอักเสบ
✅ พบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน เพื่อตรวจเช็คสภาพรากฟันเทียม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรากฟันเทียม
รากฟันเทียมเจ็บไหม?
ขณะทำจะมีการใช้ยาชา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ แต่หลังจากทำอาจมีอาการบวมและเจ็บเล็กน้อย
รากฟันเทียมอยู่ได้นานแค่ไหน?
หากดูแลดี สามารถอยู่ได้นานกว่า 10-20 ปี หรือแม้แต่ตลอดชีวิต
รากฟันเทียมสามารถติดตั้งได้ทุกคนหรือไม่?
ต้องมีปริมาณกระดูกขากรรไกรเพียงพอ หากกระดูกละลายไปมาก อาจต้องปลูกกระดูกก่อน
รากฟันเทียมเป็นทางเลือกที่ดีในการทดแทนฟันที่สูญเสีย ให้ความเป็นธรรมชาติและใช้งานได้ใกล้เคียงฟันจริงที่สุด
สนใจปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินสภาพฟันของคุณก่อนตัดสินใจทำ! 😊
คลินิกบ้านฟันสวย เชียงใหม่ มีแพทย์เฉพาะทางทำรากฟันเทียม
โทร : 063-3436156
แชท : m.me/Banfunsuayclinic
เวปไซต์ : https://banfunsuay.com/
Instagram : https://www.instagram.com/ban_fun_suay/
เปิดวันอาทิตย์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่ 10.00-19.30 น. (หยุดทุกวันเสาร์)
แผนที่ : https://g.page/Banfunsuay
หมายเหตุ :
อัตราค่ารักษาอื่น ๆ ท่านสามารถโทรสอบถามได้จากทางคลินิก
อัตราค่ารักษาดังกล่าวเป็นการประเมินในเบื้องต้น
ค่าใช้จ่ายจริงทันตแพทย์จะเป็นผู้แจ้งให้ท่านทราบหลังจากทำการตรวจ ปรึกษาและวางแผนรักษาแล้ว
ราคานี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า